วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การเรียนรายวิชา ออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์

นายสุชาติ ศรีชื่น
รหัสนักศึกษา 5112252123
โปรแกรมวิชา วิทยาการคอมพิวเตอร์ ปี 2






การแทรกรูปภาพใน Macromedia Deramweaver
สามารถทำได้หลายวิธีแล้วแต่ว่าบุคคลใดจะเลือกใช้ตามต้องการ
และสามารถศึกษาการแทรกรูปภาพได้จาก VDO ข้างบนนี้ได้

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

แบบฝึกหัด 15/01/2552

1.ไวรัสมีกี่ประเภทอะไรบ้าง
มี 5 ประเภท ได้แก่
1. บูตไวรัส
2. ไฟล์ไวรัส
3. มาโครไวรัส
4. โทรจัน
5. หนอน
2.ระบบการรักษาความปลอดภัย

การรักษาความปลอดภัยนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกลไกการป้องกันข้อมูลต่างๆ ที่จัดเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ไม่ให้ได้รับความเสียหายถูกอ่านหรือแก้ไขโดยผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต ป้องกันไม่ให้ผู้ประสงค์ร้ายบุกรุกเข้ามาทำลายระบบ และต้องมีการป้องข้อมูลสูญหายจากเหตุวิสัยนั้นกระทำได้ง่ายกว่าการป้องกันข้อมูลจากผู้ประสงค์ร้าย ซึ่งผู้ประสงค์ร้ายหรือผู้ที่บุกรุกเข้ามาในระบบนั้นอาจจะเป็นพนักงานในบริษัท นักศึกษาโปรแกรมเมอร์ ผู้ควบคุมระบบ ผู้ชื่อชอบสร้างรายได้ให้กับตนเอง พวกจารกรรมข้อมูลทางทหารหรือทางธุรกิจวิธีการหนึ่งที่ใช้สำหรับการรักษาความปลอดภัยให้ระบบคือ การรับรองผู้ใช้ จะเป็นวิธีของการพิสูจน์ว่าผู้ใช้ระบบในขณะนั้นคือใคร ซึ่งวิธีต่างๆ ของการรับรองผู้ใช้ที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปคือ? การรับรองผู้ใช้โดยใช้รหัสผ่าน? การรับรองผู้ใช้โดยการตอบคำถาม? การรับรองผู้ใช้โดยใช้อุปกรณ์? การรับรองผู้ใช้โดยใช้คุณสมบัติทางชีวภาพของผู้ใช้การสร้างความเสียหายให้กับระบบนั้นอาจจะมาในรูปของโปรแกรม ที่เรียกว่าโปรแกรมอันตราย ซึ่งโปรแกรมพวกนี้จะเป็นโปรแกรมมีลักษณะการทำงานที่ไม่พึงประสงค์ เช่น เข้าไปเปลี่ยนหรือลบข้อมูล ทำการโอนย้ายไฟล์ ซึ่งโปรแกรมประเภทนี้ได้แก่ ม้าโทรจัน และประตูกับดักอีกวิธีหนึ่งของการสร้างความเสียหายให้กับระบบคอมพิวเตอร์ก็คือระบบอันตราย ลักษณะการทำงานของระบบอันตรายที่เป็นขบวนการของการทำสำเนาตัวเองขึ้นมาและแพร่กระจายไปในเน็ตเวิร์ค ใช้รีซอร์สของระบบทั้งหมดและป้องกันไม่ให้โปรเซสอื่นใช้รีซอร์สของระบบทำให้ระบบหยุดทำงานไปในที่สุดเรียกว่า หนอนคอมพิวเตอร์อีกรูปแบบหนึ่งของการโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ คือ ไวรัส จะเป็นลักษณะของโปรแกรมที่ทำงานได้เหมือนกับโปรแกรมทั่วไป แต่ไวรัสจะเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมที่เขียนขึ้นมา โดยให้ไวรัสนั้นผังตัวอยู่ในโปรแกรมอื่น ไวรัสสามารถแพร่กระจายได้โดยการที่ผู้ใช้ ทำการดาวน์โหลดโปรแกรมที่ติดไวรัสมาจากที่ต่างๆ หรือใช้แผ่นดิสก์ที่ติดไวรัส ไวรัสจะไม่ทำลายข้อมูลแต่มันจะทำให้โปรแกรมทำงานนานขึ้นและทำงานผิดพลาด ซึ่งเราสามารถป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสได้การใช้คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกันเป็นเน็ตเวิร์คและมีการส่งข้อมูลไปในช่องทางของเน็ตเวิร์คนั้น จำเป็นที่จะต้องมีกลไกในการป้องกันข้อมูลในระหว่างที่ทำการส่งเพื่อให้ปลอดภัยจากการลอบดักฟังข้อมูลหรือขัดขวางการส่งข้อมูล วิธีการที่ใช้สำหรับการรักษาความปลอดภัยก็คือการเข้ารหัสข้อมูล เป็นแปลงข้อมูลปกติให้อยู่ในรูปแบบที่อ่านไม่ออกจนกว่าข้อมูลนั้นจะถึงปลายทางวิธีการต่างๆ ของการเข้ารหัสข้อมูลคือ การเข้ารหัสข้อมูลโดยใช้คีย์ลับ และการเข้ารหัสข้อมูลโดยใช้คีย์สาธารณะ โดยข้อมูลจะถูกเข้ารหัสเพื่อให้อ่านไม่ออก และข้อมูลนั้นจะถูกถอดรหัสเพื่อให้อ่านออกก็ต่อเมื่อผู้ใช้ทราบคีย์ของการถอดรหัสข้อมูลนั้น
3.การเข้ารหัส
การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption)ขั้นตอนต่างๆ ของระบบปฏิบัติในการอนุญาตให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิเท่านั้นที่สามารถเข้าใช้งานในระบบได้นั้นอาจจะเป็นวิธีการป้องกันที่ยังไม่เพียงพอสำหรับข้อมูลที่มีความสำคัญมากๆ ยิ่งไปกว่านั้นการใช้คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อเป็นเน็ตเวิร์คและต้องกมีการส่งผ่านข้อมูลไปตามช่องทางในเน็ตเวิร์ค ซึ่งในระหว่างที่ข้อมูลเดินทางนั้นอาจจะมีผู้ทำการลอบดักฟังข้อมูลหรือทากรขัดขวางการส่งข้อมูลได้ เพื่อที่จะป้องกันข้อมูลสำคัญนั้นให้ปลอดภัยจำเป็นต้องมีกลไกเพื่อให้ผู้ใช้สามารทากรป้องกันข้อมูลในระหว่างการส่งผ่านข้อมูลการเข้ารหัสข้อมูลเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้สำหรับป้องกันข้อมูลระหว่างการส่งผ่านไปในเน็ตเวิร์ค กลไกพื้นฐานในการทำงาน คือ1. ข้อมูลจะถูกเจ้ารหัส (Encode) จากรูปแบบเดิมที่อ่านออก (Plaintext) ให้ไปยู่ในรูปแบบที่อ่านไม่ออก (Ciphertext)2. ข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสแล้ว (Ciphertext) จะถูกส่งไปตามช่องทางในเน็ตเวิร์ค3. เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสอ่านออก ผู้รับจะทำการถอดรหัส (Decode) ข้อความให้กลับไปอยู่ในรูปแบบเดิมที่อ่านออกได้
1.การเข้ารหัสข้อมูลโดยใช้คีย์ลับ (Secret – Key Encryption)จากอัลกอริมทึกสำหรับการเข้ารหัสข้อมูลซึ่งอักษรแต่ละตัวจะถูกแทนด้วยตัวอักษรที่ต่างกันไป ตัวอย่างเช่น A จะถูกแทนด้วย Q, B ทั้งหมดจะถูกแทน W, C ทั้งหมดจะถูกแทนด้วย E ซึ่งจะมีลักษณะดังนี้ระบบการแทนแบบนี้เรียกว่า monoalphabetic substitution ซึ่งใช้คีย์ที่เป็นตัวอักษร 26 ตัวอักษรจาตัวอย่างนี้คีย์ของการเช้ารหัสคือ QWERTYUIOPASDFGHJKLZXCVBNM จากคีย์นี้ข้อความปกติ ATTACK จะถูกแปลงให้เป็น QZZQEA ส่วนคีย์ที่ใช้สำหรับถอดรหัสข้อมูลที่เข้ารหัสแล้วให้กลับอยู่ในรูปแบบของข้อมูลปกติจาตัวอย่างนี้ก็จะเป็น KXVMCNOPHQRSZYIJADLEGWBUFT เพราะว่าตัวอักษร A ในข้อความที่เข้ารหัสจะเป็น K ในข้อความปกติ ส่วน B ในข้อความที่เข้ารหัสจะเป็น X ในข้อความปกติ
2.การเข้ารหัสข้อมูลโดยใช้คีย์สาธารณะ (Public – Key Encryption)ระบบที่ใช้คีย์ลับเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพเพราะในการทำงานจำเป็นต้องมีการจัดการทั้งข้อความปกติและข้อความที่เข้ารหัส แต่วิธีนี้จะมีข้อเสียคือผู้ส่งและผู้รับข้อความจะต้องใช้คีย์ร่วมกัน ซึ่งอาจจะทำให้ความลับของคีย์รั่วไหลไปสู่คนอื่นๆได้ เพื่อแก้ปัญหานี้จึงมีอีกวิธีหนึ่งคือ การเข้ารหัสข้อมูลโดยใช้คีย์สาธารณะ ระบบนี้จะใช้คีย์ที่ต่างกันสำหรับการเข้ารหัสข้อมูลและการถอดรหัสข้อมูลการทำงานของการเข้ารหัสแบบคีย์สาธารณะคือทุกคนจะต้องใช้คีย์คู่ซึ่งเรียกว่า คีย์สาธารณะ (public key) และคีย์ส่วนตัว (private key) คคีย์สาธารณะจะเป็นคีย์ที่ใช้สำหรับการเข้ารหัส ส่วนคีย์ส่วนตัวจะใช้เป็นคีย์สำหรับการถอดรหัส โดยปกติแล้วคีย์จะถูกสร้างขึ้นมาโดยอัตโนมัติ หรือให้ผู้ใช้เลือกรหัสผ่านขึ้นมาแล้วเรียกใช้อัลกอริทึกเนื่องจากผู้รับข้อมูลจะมีคีย์ส่วนตัวซึ่งจะทำให้ผู้รับสามารถที่จะถอดรหัสข้อมูลได้โดยใช้คีย์ส่วนตัวที่มีอยู่
4.การถอดรหัส

การถอดรหัสข้อมูลใน File (Decryption)
1. เปิด Text file ที่ต้องการจะถอดรหัส
2. เลือกลักษณะการเข้ารหัสข้อมูล (
Encryption method)ที่ถูกต้อง
- ถ้ามีการเลือกลักษณะผลลัพธ์ (
output)ของการเข้ารหัส ต้องเลือกลักษณะผลลัพธ์(output)ให้ถูกต้องด้วย
3. ใส่รหัสผ่าน (
Password) ให้ถูกต้อง
4. กดปุ่ม "DCRPT" เพื่อถอดรหัสข้อมูล
เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนดังกล่าว ข้อมูลจะถูกถอดรหัสเรียบร้อย

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

20/11/2551

เทคนิคการปรับแต่ง Registry
1. วิธีการเพิ่มความเร็วให้กับ Start Menu
เรียก Regedit ขึ้นมา แล้วไปที่ [HKEY_CURRENT_USER\Control Panel\Desktop] ต่อจากนั้นคลิกขวาที่ Folder ชื่อ Desktop นี้แล้วเลือก New >> String Value และให้เปลี่ยนชื่อเป็น MenuShowDelay เรียบร้อยแล้ว คลิกขวาแล้วเลือก Modify ที่ช่อง Value Data ให้คุณใส่เลข 1 ลงไป จากนั้นกด OK เรียบร้อยแล้ว Restart เครื่องใหม่

2. เพิ่มแคชในการรีเฟรชหน้าจอ เปิด Regedit [HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Explorer] ใส่ค่าสตริงใหม่ลงที่หน้าต่างด้านซ้าย โดยเลือก Edit >> New >> String Value หรือแก้ไขค่า Max Cached Icons กำหนดค่าเป็น 819

3. เพิ่มประสิทธิภาพ Hard Disk
วินโดว์ 98 จะเห็นฮาร์ดดิสก์บนช่อง IDE อาจจะเพิ่มประสิทธิภาพของดิสก์ โดยไปที่ System Properties จากนั้นเลือกแถบ Device Manager แล้วเปิดส่วน Hard Disk Controller จะเห็นดีไวซ์คอนโทรลเลอร์อุปกรณ์ที่ด้านบนของรายการ (ที่เขียนว่า BUS MASTER Controller) จากนั้นเลือกปุ่ม Properties และเลือกแถบ Settings จากนั้นเลือก Both IDE Channels Enabled

4. เคลียร์การจำการใช้งานใน Document ใน Start Menu
เราสามารถเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานคอมพิวเตอร์ ไม่ให้ผู้อื่นรู้ว่าเราใช้งานอะไรบ้าง ทำได้โดยเปิด Regedit ไปที่ [HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\Explorer] ที่หน้าต่างด้านขวา ให้หาหรือเพิ่มค่าชนิด DWORD Value แล้วใส่ชื่อเป็น ClearRecentDocsOnExit ดับเบิลคลิก ใส่ค่าเป็น 1

5. โชว์ Background แบบเต็มๆด้วยการซ่อน Desktop
เรียก Regedit ขึ้นมา แล้วไปที่ [HKEY_CURRENT_USER\Ssoftware\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\Explorer] คลิกขวา เลือก New >> DWORD Value แล้วตั้งชื่อว่า NoDesktop ให้ Double Click ขึ้นมา แล้วใส่ค่า Value Data เป็น 1 หากต้องการยกเลิก ก็เข้าไปลบ KEY ที่ได้สร้างเอาไว้ออก หรือเปลี่ยนค่าเป็น 0 และ Restart เครื่อง

6. ซ่อนหน้า Background Setting
เรียก Regedit ขึ้นมา แล้วไปที่ [HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\System] คลิกขวา เลือก New >> DWORD Value แล้วตั้งชื่อว่า NoDispBackgroundPage ให้ Double Click ขึ้นมา แล้วใส่ค่า Value Data เป็น 1 หากต้องการยกเลิก ก็เข้าไปลบ KEY ที่ได้สร้างเอาไว้ออก หรือเปลี่ยนค่าเป็น 0 และ Restart เครื่อง

7. ซ่อนหน้า Appearance Setting
เรียก Regedit ขึ้นมา แล้วไปที่ [HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\System] คลิกขวา เลือก New >> DWORD Value แล้วตั้งชื่อว่า NoDispAppearancePage ให้ Double Click ขึ้นมา แล้วใส่ค่า Value Data เป็น 1 หากต้องการยกเลิก ก็เข้าไปลบ KEY ที่ได้สร้างเอาไว้ออก หรือเปลี่ยนค่าเป็น 0 และ Restart เครื่อง

8. ซ่อนหน้า Display Setting
เรียก Regedit ขึ้นมา แล้วไปที่ [HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\System] คลิกขวา เลือก New >> DWORD Value แล้วตั้งชื่อว่า NoDispSettingsPage ให้ Double Click ขึ้นมา แล้วใส่ค่า Value Data เป็น 1 หากต้องการยกเลิก ก็เข้าไปลบ KEY ที่ได้สร้างเอาไว้ออก หรือเปลี่ยนค่าเป็น 0 และ Restart เครื่อง

9. ซ่อนหน้า Screensaver Setting
เรียก Regedit ขึ้นมา แล้วไปที่ [HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\System] คลิกขวา เลือก New >> DWORD Value แล้วตั้งชื่อว่า NoDispScrSavPage ให้ Double Click ขึ้นมา แล้วใส่ค่า Value Data เป็น 1 หากต้องการยกเลิก ก็เข้าไปลบ KEY ที่ได้สร้างเอาไว้ออก หรือเปลี่ยนค่าเป็น 0 และ Restart เครื่อง

10. ซ่อน Device Manager
เรียก Regedit ขึ้นมา แล้วไปที่ [HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\System] คลิกขวา เลือก New >> DWORD Value แล้วตั้งชื่อว่า NoDevMgrPage ให้ Double Click ขึ้นมา แล้วใส่ค่า Value Data เป็น 1 หากต้องการยกเลิก ก็เข้าไปลบ KEY ที่ได้สร้างเอาไว้ออก หรือเปลี่ยนค่าเป็น 0 และ Restart เครื่อง

11. ซ่อน Drive ไม่ให้คนอื่นเห็น
เรียก Regedit ขึ้นมา แล้วไปที่ [HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\Explorer] คลิกขวา เลือก New >> DWORD Value แล้วตั้งชื่อว่า NoDrives ให้ Double Click ขึ้นมา เลือกใส่ค่าแบบ Decimal แล้วใส่ค่า Value Data เป็นค่าตัวเลขตาม Drive ที่ต้องการให้ซ่อนดังนี้หากต้องการซ่อนหลายไดรว์พร้อมกัน ก็นำค่าของแต่ละไดรว์มาบวกกัน เช่น ต้องการซ่อนไดรว์ A: D: และ F: ก็ใส่ค่าเท่ากับ 41 เป็นต้น หากต้องการยกเลิก ก็เข้าไปลบ KEY ที่ได้สร้างเอาไว้ออก และ Restart เครื่อง

12. ซ่อนไอคอน Network Neighbourhood
เรียก Regedit ขึ้นมา แล้วไปที่ [HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\Explorer] คลิกขวา เลือก New >> DWORD Value แล้วตั้งชื่อว่า NoNetHood ให้ Double Click ขึ้นมา แล้วใส่ค่า Value Data เป็น 1 หากต้องการยกเลิก ก็เข้าไปลบ KEY ที่ได้สร้างเอาไว้ออก หรือเปลี่ยนค่าเป็น 0 และ Restart เครื่อง

13. กันไว้ไม่ให้ใครมาเพิ่ม Printer
เรียก Regedit ขึ้นมา แล้วไปที่ [HKEY_CURRENT_USER\Ssoftware\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\Explorer] คลิกขวา เลือก New >> DWORD Value แล้วตั้งชื่อว่า NoAddPrinter ให้ Double Click ขึ้นมา แล้วใส่ค่า Value Data เป็น 1 หากต้องการยกเลิก ก็เข้าไปลบ KEY ที่ได้สร้างเอาไว้ออก หรือเปลี่ยนค่าเป็น 0 และ Restart เครื่อง

14. กันไว้ไม่ให้ใครมาลบ Printer
เรียก Regedit ขึ้นมา แล้วไปที่ [HKEY_CURRENT_USER\Ssoftware\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\Explorer] คลิกขวา เลือก New >> DWORD Value แล้วตั้งชื่อว่า NoDeletePrinter ให้ Double Click ขึ้นมา แล้วใส่ค่า Value Data เป็น 1 หากต้องการยกเลิก ก็เข้าไปลบ KEY ที่ได้สร้างเอาไว้ออก หรือเปลี่ยนค่าเป็น 0 และ Restart เครื่อง

15. ซ่อน My Pictures ตรง Start Menu
เรียก Regedit ขึ้นมา แล้วไปที่ [HKEY_CURRENT_USER\Ssoftware\ Microsoft\Windows\CurrentVersion\Policies\Explorer]
คลิกขวา เลือก New >> DWORD Value แล้วตั้งชื่อว่า NoSMMyPictures ให้ Double Click ขึ้นมา แล้วใส่ค่า Value Data เป็น 1 หากต้องการยกเลิก ก็เข้าไปลบ KEY ที่ได้สร้างเอาไว้ออก หรือเปลี่ยนค่าเป็น 0 และ Restart เครื่อง

16. ลบลูกศรที่ Shortcut
เรียก Regedit ขึ้นมา แล้วไปที่ [HKEY_CLASSES_ROOT\lnkfile] คลิก Name ที่ชื่อว่า IsShortcut แล้วกดปุ่ม Delete เพื่อลบออกไป หรือ Double Click แล้วใส่ค่าเป็น No

17. แสดงไฟล์ Operating System ที่ซ่อนอยู่
เรียก Regedit ขึ้นมา แล้วไปที่ [HKEY_CURRENT_USER\Ssoftware\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Explorer\Advanced] คลิกขวา เลือก New >> DWORD Value แล้วตั้งชื่อว่า ShowSuperHidden ให้ Double Click ขึ้นมา แล้วใส่ค่า Value Data เป็น 1 หากต้องการยกเลิก ก็เข้าไปลบ KEY ที่ได้สร้างเอาไว้ออก หรือเปลี่ยนค่าเป็น 0 และ Restart เครื่อง

18. วิธีการสร้าง Control Panel ขึ้นมาเป็นของตัวเองเปิดหน้าต่าง Control Panel ปกติขึ้นมาค้างไว้ก่อน สร้าง Folder ขึ้นมาใหม่ โดยให้ไปที่ File >> New >> Folder และให้คลิกที่ Folder ที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้ให้เปิดออกมา พร้อมกับเอาเจ้าหน้าต่าง Control Panel จริงๆที่เปิดเอาไว้มาวางใกล้ๆ จากนั้นให้ลากเครื่องมือที่ต้องการจากใน Control Panel จริงๆนั้นมาใส่และตอบ Yes ได้เลย ซึ่งตรงนี้อยากได้เครื่องมืออะไรก็สามารถลากเข้ามาได้เลย ซึ่งเครื่องมือต่างๆที่ได้ลากเข้ามานี้ จะมีข้อความนำหน้าชื่อว่า Shortcut to ซึ่งสามารถเปลี่ยนมันเป็นชื่ออะไรก็ได้


19. ปรับขนาดซิสเต็มรีสโตร์สามารถแก้ไขได้โดยเปิด Regedit และไปที่ [HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\StateMgr\Cfg\ReservedDiskSpace] และที่[HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\StateMgr\ReservedDiskSpace] จากนั้นเปลี่ยนค่า Max และ Min เป็นค่าที่ต้องการโดยใช้ชนิดของข้อมูลแบบ DWORD
20. ปรับค่าเดียลอัพให้ดีที่สุดถ้าจะปรับแต่งค่าการรับข้อมูลของ Dialup ให้ดีที่สุด เพราะค่าของวินโดวส์ที่กำหดให้มานั้นไม่เหมาะสม ให้เปิด Regedit ขึ้นมา แล้วไปที่ [HKEY_LOCAL_MACHINE\System\CurrentControlSet\Services\Class\NetTrans] แล้วลองหาหรือเพิ่มค่า MaxMTU ชนิด String Value เป็น 576 และลองหาหรือเพิ่มค่า MaxMSS ชนิด String Value เป็น 536 จากนั้น Save แล้วออกจากโปรแกรมแล้ว Restart ใหม่

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

13/11/2008

การเข้าใช้งานระบบปฎิบัติการดอส (DOS)
วิธีที่ 1 Start + Run พิมพ์ cmd คลิก OK
วิธีที่ 2 Start + Programs + Accessories + Command Prompt
คำสั่ง Dos พื้นฐาน
1. พิมพ์ /? ต่อท้ายทำให้แสดงรายละเอียดของคำสั่งนั้น
2. dir แสดงรายชื่อไฟล์ต่าง ๆ บนดิสก์ทั้งหมด
3. cd.. กลับที่ละชั้น
4. cd\ กลับไปที่จุดเริ่มต้น
5. ค้นหาไฟล์ต่าง ๆ เช่น
dir s*.* ค้นหาไฟล์ที่ขึ้นต้นด้วย s ไฟล์สกุลอะไรก้ได้
dir *s*.* ค้นหาไฟล์ที่มีตัว s ไฟล์สกุลอะไรก็ได้
dir *.log ค้นหลไฟล์ที่มีสกุลเป็น log
6. ver ดูโวชั่น
7. vol แสดง Volume ของดิสก์ โดยพิมพ์ vol c: และ vol d:

แต่ถ้าหากทั้งสองไดรฟ์ไม่มีการกำหนดชื่อ Volume เลยจะปรากฎ ( no label )
8. md สร้างไฟล์ไดเรกทอรี หรือโฟลเดอร์
9. cm เข้าไปในไฟล์ไดเรกทอรี
10. rd ลบไฟล์ไดเรกทอรี หรือโฟลเดอร์
11. del ลบไฟล์
12.. copy คัดลอก
13.. ren เปลี่ยนชื่อไฟล์ ( ren ชือต้นฉบับ ชื่อที่เปลี่ยน )
14. attrib กำหนดคุณสมบัติให้กับไฟล์ ( + , - )
R = Read only การอ่านไฟล์
H = Hidden การซ่อนไฟล์

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เรียนวันที่ 30/10/2551

Symbol

~ tilde
` grave accent
! exclamation point
@ at sign
# number sign
$ dollar sign
% percent
^ caret 2^3=8
& ampersand
* asterisk 2*3=6
( ) parentheses
_ underscore
+ plus sign 2+3=5
= equal sign
{ } braces
[ ] brackets
vertical bar
\ backslash
: colon
; semicolon
" “ ” quotation mark
' apostrophe
< > angle brackets
, comma
. period
? question mark
/ slash mark

Short cut key

F1 - เรียก Help หรือ Office Assistant
F2 - ย้ายข้อความ หรือกราฟิกต่างๆ
F3 - แทรกข้อความอัตโนมัติ (AutoText)
F4 - ทำซ้ำสำหรับแอคชั่นการทำงานล่าสุดของผู้ใช้
F5 - เลือกคำสั่ง Go To (เมนู Edit)
F6 - กระโดดไปยังกรอบหน้าต่างถัดไป
F7 - เลือกคำสั่งตรวจสอบคำสะกด (Spelling ในเมนู Tools)
F8 - ขยายไฮไลต์ของการเลือกข้อความ
F9 - อัพเดตฟิลด์ต่างๆ ที่เลือก
F10 - กระโดดไปเมนูบาร์
F11 - กระโดดไปยังฟิลด์ถัดไป
F12 - เลือกคำสั่ง Save As (เมนู File)
Ctrl + A ฮไลต์ไฟล์ หรือข้อความทั้งหมด
Ctrl + C ก๊อปปี้ไฟล์ หรือข้อความที่เลือกไว้
Ctrl + X ตัด (cut) ไฟล์ หรือข้อความที่เลือกไว้
Ctrl + V วาง (paste) ไฟล์ หรือข้อความที่ก๊อปปี้ไว้
Ctrl + Z ยกเลิกการกระทำที่ผ่านมาล่าสุด

ปุ่ม Windows ถ้าใช้เดี่ยว ๆ จะเป็นการแสดง Start Menu
ปุ่ม Windows + D ย่อหน้าต่างที่เปิดอยู่ทั้งหมด
ปุ่ม Windows + E เปิด windows explorer
ปุ่ม Windows + F เปิด Search for files
ปุ่ม Windows + Ctrl+F เปิด Search for Computer
ปุ่ม Windows + F1 เปิด Help and Support Center
ปุ่ม Windows + R เปิดไดอะล็อคบ็อกซ์ RUN
ปุ่ม Windows + break เปิดไดอะล็อคบ็อกซ์ System Properties
ปุ่ม Windows +shift + M เรียกคืนหน้าต่างที่ถูกย่อลงไปทั้งหมด
ปุ่ม Windows + tab สลับไปยังปุ่มต่าง ๆ บน Taskbar
ปุ่ม Windows + U เปิด Utility Manager


DOS

ระบบปฏิบัติการ DOS เป็นอย่างไร?

ระบบปฏิบัติการ (operating system) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของระบบซอฟต์แวร์ ระบบปฏิบัติการประกอบขึ้นจากชุดโปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการดำเนินการต่าง ๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ และประสานการทำงานระหว่างทรัพยากรต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งส่วนที่เป็นซอฟต์แวร์และส่วนที่เป็นฮาร์ดแวร์ให้เป็นไปย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ระบบคอมพิวเตอร์ในระดับไมโครคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปใช้ระบบปฏิบัติการที่จัดเก็บอยู่บนแผ่นบันทึกหรือฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อของ เอ็มเอสดอส (Microsort Disk Operating System : MS-DOS) ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟต์คอร์ปอเรชัน ระบบปฏิบัติการนี้ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการของผู้ใช้และพัฒนาการทางด้านซอฟต์แวร์และฮารด์แวร์

การเริ่มต้นทำงานของระบบปฏิบัติการดอส
การเริ่มต้นทำงานของระบบคอมพิวเตอร์จะเริ่มต้นโดยอัตโนมัติจากส่วนของชุดคำสั่งที่จัดเก็บอยู่ บนหน่วยความจำของระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้อ่านได้อย่างเดียวที่เรียกว่ารอม (Read Only Memory : ROM) คำสั่งเหล่านี้จะทำหน้าที่ควบคุมอุปกรณ์พื้นฐานและทำการบรรจุระบบปฏิบัติการจากแผ่นบันทึกหรือฮาร์ดดิสก์ ขึ้นสู่หน่วยความจำหลัก หลังจากนี้การควบคุมการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์จะถูกบรรจ ุไปอยู่บนหน่วยความจำหลักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โปรแกรมหนึ่งในระบบปฏิบัติการดอสที่ถูกบรรจุคือ โปรแกรมคำสั่งที่มีชื่อว่า command.com และกระบวนการเริ่มต้นการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ดังกล่าวนี้เรียกกันทั่วไปว่า การบูทเครื่อง (boot) คอมพิวเตอร์
การบูทเครื่องคอมพิวเตอร์มีอยู่ด้วยกัน 2 วิธีคือ
1. Cold Boot คือการเปิดเครื่องด้วยสวิตช์ปิดเปิดเครื่อง (power)
2. Worm Boot คือ จะใช้วิธีนี้ในขณะที่เครื่องเปิดอยู่ ในกรณีที่เครื่องค้าง (Hank) เครื่องไม่ทำงานตามที่เราป้อนคำสั่งเข้าไป การบูทเครื่องแบบนี้สามารถกระทำได้อยู่ 2 วิธีคือ
1. กดปุ่ม Reset
2. กดปุ่ม Ctrl+Alt+Del พร้อมกัน แล้วปล่อยมือ

คำสั่งระบบ DOS พื้นฐาน

1. DIR (Directory) - คำสั่งในการแสดงรายชื่อไฟล์ รายชื่อไดเรกทอรี่ (Folder ใน windows ปัจจุบัน)

ตัวอย่างการใช้งาน (รวมคำสั่งย่อย ๆ)

Dir - แสดงรายชื่อไฟล์ ไดเรกทอรี่ทั้งหมด พร้อมทั้งขนาดไฟล์ + วันเวลาอัปเดทล่าสุด

Dir /p - แสดงรายชื่อไฟล์ ไดเรกทอรี่ในแนวนอน ให้หยุดแสดงทีละหน้า (กรณีที่มีจำนวนไฟล์ยาวมากกว่า 1 หน้าจอ)

Dir /w - แสดงรายชื่อไฟล์ ไดเรกทอรี่ในแนวนอน

Dir /s, - แสดงรายชื่อไฟล์ ไดเรกทอรี่ และไฟล์ที่อยู่ในไดเรกทอรี่ย่อยด้วย

Dir /od - แสดงรายชื่อไฟล์ ให้เรียงตามวันที่อัปเดท

Dir /n - แสดงรายชื่อไฟล์ ให้เรียงตามชื่อ

2. CLS (Clear Screen) - คำสั่งสำหรับลบหน้าจอออก

3. DEL (Delete) - คำสั่งในการลบชื่อไฟล์ที่ต้องการ เช่น DEL readme.txt หมายถึงให้ลบชื่อไฟล์ README.TXT

ตัวอย่างการใช้งาน (รวมคำสั่งย่อย ๆ)

Del readme.txt - ลบไฟล์ชื่อ readme.txt

Del *.* - ให้ลบไฟล์ทั้งหมดที่อยู่ในไดเรกทอรี่ปัจจุบัน

Del *. - ให้ลบไฟล์ทั้งหมดที่อยู่ในไดเรกทอรี่ปัจจุบัน เฉพาะไฟล์ที่ไม่มีนามสกุล

4. MD (Make Directory) - คำสั่งในการสร้างไดเรกทอรี่ เช่น MD Photo จะได้ไดเรกทอรี่ C:Photo
5. CD (Change Directory) - คำสั่งในการเข้าไปในไดเรกทอรี่ (CD คือคำสั่งในการออกจากห้องไดเรกทอรี่)
6. RD (Remove Directory) - คำสั่งในการลบไดเรกทอรี่ เช่น RD Photo (เราจะต้องอยู่นอกห้องไดเรอทอรี่ Photo)
7. REN (Rename) - คำสั่งในการเปลี่ยนชื่อชือ เช่น REN readme.txt read.me หมายถึงการเปลี่ยนชื่อไฟล์เป็น READ.ME

ชนิดคำสั่ง DOS
คำสั่งของ DOS มีอยู่ 2 ชนิดคือ

1. คำสั่งภายใน (Internal Command) เป็นคำสั่งที่เรียกใช้ได้ทันทีตลอดเวลาที่เครื่องเปิดใช้งานอยู่ เพราะคำสั่งประเภทนี้ถูกบรรจุลงในหน่วยความจำหลัก (ROM) ตลอดเวลา หลังจากที่ Boot DOS ส่วนมากจะเป็นคำสั่งที่ใช้อยู่เสมอ เช่น CLS, DIR, COPY, REN เป็นต้น

2. คำสั่งภายนอก (External Command) คำสั่งนี้จะถูกเก็บไว้ในดิสก์หรือแผ่น DOS คำสั่งเหล่านี้จะไม่ถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำ เมื่อต้องการใช้คำสั่งเหล่านี้คอมพิวเตอร์จะเรียกคำสั่งเข้าสู๋หน่วยความจำ ถ้าแผ่นดิสก์หรือฮาร์ดดิสก์ไม่มีคำสั่งที่ต้องการใช้อยู่ก็ไม่สามารถเรียกคำสั่งนั้น ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น คำสั่ง FORMAT, DISKCOPY, TREE, DELTREE เป็นต้น

รูปแบบและการใช้คำสั่งต่างๆ ในการใช้คำสั่งต่าง ๆ ของ DOS จะมีการกำหนดอักษรหรือสัญญลักษณ์ ใช้แทนข้อความของรูปแบบคำสั่ง ดังนี้

[d:] หมายถึง Drive เช่น A:, B:

[path] หมายถึง ชื่อไดเรคเตอรี่ย่อย

[filename] หมายถึง ชื่อแฟ้มข้อมูล หรือ ชื่อไฟล์

[.ext] หมายถึง ส่วนขยาย หรือนามสกุล


วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

แนะนำตัว


นายสุชาติ ศรีชื่น



Tel 089-4279683

เพื่อนสนิท
1.นายสราวุฒิ ประถมภาส
2.นายชลธิปณ์ ศรีสุรักษ์




--------ASCII--------

-----Hex---- Binary
A--- 41--- 01000001
B--- 42--- 01000010
C--- 43--- 01000011
D--- 44--- 01000100
E--- 45--- 01000101
F--- 46--- 01000110
G--- 47--- 01000111
H--- 48--- 01001000
I--- 49--- 01001001
J--- 4A--- 01001010
K--- 4B--- 01001011
L--- 4C--- 01001100
M--- 4D--- 01001101
N--- 4E--- 01001110
O--- 4F--- 01001111
P--- 50--- 01110000
Q--- 51--- 01110001
R--- 52--- 01110010
S--- 53--- 01110011
T--- 54--- 01110100
U--- 55--- 01110101
V--- 56--- 01110110
W--- 57--- 01110111
X--- 58--- 01111000
Y--- 59--- 01111001
Z--- 5A--- 01111010

-----Hex----
Binary
a--- 61--- 01100001
b--- 62--- 01100010
c--- 63--- 011000110
d--- 64--- 01100100
e--- 65--- 01100101
f--- 66--- 01100110
g--- 67--- 01100111
h--- 68--- 01101000
i--- 69--- 01101001
j--- 6A--- 01101010
k--- 6B--- 01101011
l--- 6C--- 01101100
m--- 6D--- 01101101
n--- 6E--- 01101110
o--- 6F--- 01101111
p--- 70--- 01100000
q--- 71--- 01100001
r--- 72--- 01100010
s--- 73--- 01100011
t--- 74--- 01100100
u--- 75--- 01100101
v--- 76--- 01100110
w--- 77--- 01100111
x--- 78--- 01101000
y--- 79--- 01101001
z--- 7A--- 01101010


-----Hex---- Binary
0--- 90--- 10010000
1--- 91--- 10010001
2--- 92--- 10010010
3--- 93--- 10010011
4--- 94--- 10010100
5--- 95--- 10010101
6--- 96--- 10010110
7--- 97--- 10010111
8--- 98--- 10011000
9--- 99--- 10011001